เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ส.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังสัจธรรม สัจธรรมคือความจริง แต่ความรู้สึกนึกคิดของเรามันจริง มันจริงส่วนหนึ่ง แต่มันไม่จริงเพราะว่ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราคิดสิ่งใดเราก็คิดเห็นแก่ตัวเราทั้งนั้นน่ะ มนุษย์ต่างจากสัตว์ มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม ดูสิ เวลาสัตว์ สัตว์มันเกิดมามันเกิดเป็นอบายภูมิ แต่มนุษย์ ภพของมนุษย์ไง ดูสิ ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสมองด้วย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสติปัญญาด้วย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีอำนาจวาสนาบารมีด้วย พยายามรื้อค้นๆ ไง

แล้วพูดถึงศาสนา ศาสนาสอนถึงที่สุดนะ ศาสนาสอนเรื่องการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไปหาที่ไหน เราจะไปหาแบบวิทยาศาสตร์ไง จะทำวิเคราะห์วิจัยไง เพื่อจะให้รู้การว่าไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง วิเคราะห์วิจัยขึ้นมา จิตเป็นคนวิเคราะห์ไง มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ไง มันไม่ใช่เรื่องของสัจจะความจริงไง

ถ้าเรื่องของสัจจะความจริง คนที่เกิดมันคือใคร จิตวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คนที่เกิดคือตัวของเราไง แต่เราเป็นค้นคว้าอยู่ข้างนอกไง ถ้าค้นคว้าอยู่ข้างนอกมันได้สิ่งใดมาไง ถ้ามันได้สิ่งที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องทางโลก ทางโลก สิ้นสุดของวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องธรรมะ ธรรมะที่ไหน

ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา ที่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมตอกย้ำตรงนี้ ตอกย้ำของเรา คนเราเกิดมาก็ต้องมีจริตนิสัย ต้องมีอำนาจวาสนา ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลามีปัจจัยเครื่องอาศัย ศีลธรรมกล่อมเกลาหัวใจของคนไง กล่อมเกลาหัวใจของคนให้อ่อนโยน กล่อมเกลาหัวใจของคนให้ยอมรับความจริงๆ ไง ถ้ามันยอมรับความจริงๆ เพราะมันยอมรับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอมรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเราไง แต่จิตใจของเรามันไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีการกระทำขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมาได้ไง ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ความเป็นจริงของเราขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้เสียสละทาน การเสียสละๆ เสียสละเพื่อพัฒนาหัวใจของเราไง พัฒนาหัวใจให้มันเข้มแข็ง

ถ้าโดยธรรมชาติของมัน ดูสิ ยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้นน่ะ ของเราๆ ทั้งนั้นน่ะ เพราะของเรามันจะไม่ได้สิ่งใดเลยไง เพราะของเรามันจะมอดไหม้ไปกับความรู้สึกของเราไง เพราะเป็นของเราๆ เราไม่เคยเสียสละไปเลย มันจะมอดไหม้ไปกับเราไง เวลามอดไหม้ไปกับเรา มอดไหม้ไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

คนจะตาย สัญญาอารมณ์มันห่วงสมบัติ มรดกยังไม่ได้แจก มรดกยังไม่ได้แบ่งแยกให้ใคร มรดกยังไม่ได้มอบให้ใคร มันห่วงไปหมดเลย พอมอบมรดกไปแล้ว เราไปแล้วเขาจะทำตามที่เราได้มอบให้หรือเปล่า นี่ไง ถ้าเป็นของเราๆ มันไม่มีสิ่งใดเป็นของของเราเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละออกไปเลย เสียสละออกไป เวลาเราเสียสละ เราทำทานขึ้นมา เราเป็นคนเห็น เราปล่อยจากมือของเราไป เราเป็นคนเห็น จิตมันรับรู้ จิตมันเป็นคนรับรู้ จิตมันเป็นคนปล่อย ฝึกหัดมันๆ

เวลาถ้าจิตใจมันยังไม่ได้กล่อมเกลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนเรื่องการเสียสละทาน เสียสละทานขึ้นมา เสียสละทานเพื่อฝึกหัดหัวใจอันนี้ ดูสิ ถ้ามันเป็นเสียสละเป็นอย่างไร ไม่เสียสละเป็นอย่างไร ถ้าเสียสละแล้วกลับไปนอนคิดว่าเสียดายๆ เป็นอย่างไร เสียสละแล้ว กลับไปถึงบ้านแล้วภูมิใจเป็นอย่างไร จิตมันจะพัฒนาขึ้นไปอย่างนี้ พัฒนาขึ้นไป นี่เรื่องระดับของทาน

ระดับของศีล ศีล พอแก่พอเฒ่าขึ้นมาแล้วเราไปวัดไปวากันเพื่อจำศีล พอจำศีลเพื่อมีบุญกุศล บุญกุศล เวลาตายไปแล้วมันจะมีสมบัติติดไปภายภาคหน้า ถ้าภายภาคหน้า แล้วสมบัติที่ไหนมันจะติดไปล่ะ

ถ้าไปถือศีลๆ ศีลมันข้อปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติขึ้นมา ถ้าศีลของเรา เราปกติของเรา เรามีศีลของเรา ถ้ามีศีลของเรา ศีลคือความสงบของใจ ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามามันมีศีลในตัวมันเอง ถ้ามีศีลในตัวมันเอง เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบขึ้นมา เราจะเห็นสมบัติภายในของเราแล้ว ถ้าเห็นสมบัติภายในของเรานะ

เวลาคนเราเกิดมามันก็มีวุฒิภาวะแตกต่างกันไป ถ้าวุฒิภาวะแตกต่างกันไป คนที่มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาคือทำสิ่งใดส้มหล่นๆ คือมันฟลุ๊ก มันทำแล้วมันจะประสบความสำเร็จบ้าง ประสบความสำเร็จมากกว่าความอัตคัดขาดแคลน คนเราเกิดมา เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม อัตคัดขาดแคลนขนาดไหมมันก็อัตคัดขาดแคลนแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าหัวใจมันยิ่งใหญ่ หัวใจมันยิ่งใหญ่นะ หมอชีวกฯ พ่อแม่เขาไปทิ้ง พ่อแม่ไปทิ้งถังขยะด้วย แล้วคนก็ไปเก็บมา ทีนี้พระเจ้าอภัยเป็นกษัตริย์หรืออย่างไรน่ะ มาเจอเข้าก็ขอไปเลี้ยงไง เลี้ยงไว้ ไปเลี้ยงในราชวังขึ้นมา

เด็กเกิดมาพ่อแม่เอาไปทิ้ง พ่อแม่ไม่ดูแล แต่เขาก็ยังขวนขวายขึ้นมา ไปศึกษามา ศึกษาตำราแพทย์แผนโบราณมา จนได้มาเป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนได้สร้างวัดสร้างวาถวายในพระพุทธศาสนาไง เขาก็ปากกัดตีนถีบของเขา นั่นคืออำนาจวาสนาของเขา อำนาจวาสนาของเขามันต้องอบรมจิตใจไง อบรมกล่อมเกลาจิตใจของเราให้มันมีหลัก ให้มันมีหลัก

คนเหมือนกัน ไอ้ที่ว่าสุขว่าทุกข์มันหัวใจของคน ไอ้ที่ว่าเราเห็นว่าคนมีความสุขๆ ในใจเขามีไฟเผาหรือเปล่า ไอ้เราว่าทุกข์ๆ ไอ้เรากลับมีความสุขนะ เอ๊ะ! ทุกข์มันเป็นอย่างไร เขาว่าเราทุกข์ๆ ทุกข์มันเป็นอย่างไร เขาชี้เข้ามา ไอ้เราต่างหากล่ะ เราต่างหาก นี่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะละเอียดเข้ามาแบบนี้ ถ้าละเอียดเข้ามาแบบนี้มันจะเห็นคุณค่าของหัวใจเราแล้ว

ใช่ คนเรานะ จะวัดกันด้วยผลงาน ใครที่มีความรับผิดชอบทำหน้าที่การงานนั้น นั่นถือว่าเป็นคน อันนั้นเราก็ยอมรับ ถ้ายอมรับอย่างนั้นนะ แต่ถ้ายอมรับอย่างนั้น อย่าให้กิเลสมันแผดเผาหัวใจของเราสิ เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้มีศีลมีธรรมในหัวใจ ศีลธรรมอันนั้น ศีลธรรมในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศีลธรรมในหัวใจของเรานะ เราต้องมีงานทำทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลาพระบอกว่าให้ปล่อยวางๆ ยังบิณฑบาตมา ถ่ายแล้วถ่ายอีกๆ มันก็เป็นปฏิคาหกไง

ปฏิคาหก ผู้ที่เขามีศีลมีธรรมของเขา เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส เราเชื่อถือศรัทธาของเรา เราถึงมาใส่บาตร ผู้ให้ ผู้ให้ของเรา เราขวนขวายของเรามา มีมากมีน้อยขึ้นไป ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร แข่งขันกับหัวใจของเราไง เราภูมิใจในการให้ จะมีมากมีน้อยไม่สำคัญ สำคัญถึงเจตนาของเรา สำคัญถึงความภูมิใจของเรา ความภูมิใจของเรา เรามีมากมีน้อย ความภูมิใจของเรา คนเราเกิดมามันแข่งขันกันไม่ได้

นี่ไง ปฏิคาหกๆ ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ผู้รับๆ ผู้รับได้แล้วใช้ประโยชน์ให้เป็นความสะอาดบริสุทธิ์นะ ปฏิคาหกอย่างนี้ทำบุญแล้วจะได้บุญมาก เพราะมันไม่ได้ทำบุญด้วยชื่อเสียง ไม่ได้ทำบุญเพื่อสังคมหรืออะไรทั้งสิ้น มันทำเพื่อหัวใจของเราไง

แล้วถ้าคน ปฏิคาหกๆ ผู้ที่เป็นคนมีสติมีปัญญาเขาจะทอดทิ้งได้อย่างไร เขาจะทอดทิ้งของที่เขาเสียสละมาให้มันเสียหายไปได้อย่างไร เขาก็ต้องบริหารจัดการไปด้วยสติด้วยปัญญาของเขาให้ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดมันก็เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ไง เพราะเราไว้เนื้อเชื่อใจไง นี่พูดถึงว่าปฏิคาหกๆ ผู้ที่แสวงหาอยู่นะ มันต้องแสวงหาอยู่เพราะอะไร

ชีวิตมันต้องมีอาหารทั้งนั้นน่ะ นี่ไง เวลาร่างกายของเราก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย หัวใจของเรานะ ธรรมะมันกล่อมเกลาหัวใจของเรา มนุษย์ถ้ามีศาสนา มันต่างจากสัตว์ๆ แล้วมนุษย์ของเราถ้ามีศาสนาแล้วทำให้ใจนี้เป็นธรรมๆ ขึ้นมาด้วยนะ มันประเสริฐมาก มันประเสริฐด้วยหัวใจดวงนั้นไง หัวใจดวงนั้นนะ แล้วหัวใจดวงนั้นมันประเสริฐมาก ประเสริฐเพราะอะไรล่ะ ประเสริฐเพราะมันพ้นไปแล้วไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านชำระกิเลสนะ “เราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน”

“บุญในศาสนาที่มีผลมากมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา” นางสุชาดาจะไปแก้บน จะไปแก้บนเพราะตอนนั้นศาสนายังไม่มี จะไปแก้บนกับเทวดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งภาวนาอยู่ที่นั่น ทีนี้พุทธลักษณะใช่ไหม ก็นึกว่าเทวดา ก็ไปถวาย เราฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่านจนท่านถึงซึ่งกิเลสนิพพาน นี่ไง มันกิเลสนิพพาน ดวงใจดวงนั้นประเสริฐๆ เพราะกิเลสมันไม่มี

พอไม่มีกิเลสขึ้นมาแล้วมันไม่มีมารยาสาไถย มันไม่มีสิ่งใดในหัวใจนั้น หัวใจนั้นสะอาดบริสุทธิ์ตรงไปตรงมา ตรงไปตรงมา โลกก็รับกันไม่ได้ โลกก็ไม่รู้ไง เพราะโลกต้องรับแต่เรื่องรู้ไง “เจริญพรๆ” ยกตูดกันให้ไปสูงส่งไง แต่ของท่านมันไม่มีของท่าน เวลาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน หัวใจดวงนั้นมันมีค่า มีค่าตรงนั้นไง เพราะหัวใจดวงนั้นท่านได้สำรอกคายกิเลสออกไปแล้วท่านถึงไปเทศน์ธัมมจักฯ ได้พระอัญญาโกณฑัญญะมา ท่านเทศนาว่าการรื้อสัตว์ขนสัตว์ของท่านมา

พอถึงที่สุด มารดลใจแล้วดลใจอีกจะให้นิพพานๆ วิมุตติสุขมันสุขดี ใจมันประเสริฐแล้วก็ไปเสีย มาอยู่ทำไม มาอยู่กับทุกข์อยู่กับยากนี่ มนุษย์ต้องกินข้าว เป็นพระก็ต้องบิณฑบาต มันทุกข์มันยาก ทำไมไม่นิพพานไปเสีย ไปอยู่วิมุตติสุขๆ มันจะได้สุขๆ ไปไง

ท่านก็วางศาสนาให้มั่นคง เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง ยังไม่มั่นคง คำว่า “มั่นคง” คือมั่นคงในหัวใจไง มั่นคงคือมีหลักใจใช่ไหม หลักใจ ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ตามความเป็นจริง ใครพูดมันจะถูกผิดมันจะเข้าใจได้ พอเข้าใจได้ มันจะยกตัวอย่างให้เขาเห็นได้ พยายามจะแยกแยะได้ แก้ไขได้ไง

ถ้าเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่มั่นคง ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ คือผู้เห็นผิด ผู้รู้ผิดที่มันจะมากล่าวโจมตี เรายังไม่ยอมนิพพาน

ฉะนั้น ท่านก็วางรากฐานของท่านไว้ รื้อสัตว์ขนสัตว์ พยายามสร้างศาสนทายาท สร้างในหัวใจนะ ไม่ได้สร้างโดยวัตถุข้าวของใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เกี่ยว สร้างโดยหัวใจไง ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาไง ฝึกหัดให้มันเป็นขึ้นมาๆ พอมันเป็นขึ้นมาแล้วมันกล่าวแก้ได้ ดูสิ เวลาสมัยพุทธกาล พระออกบิณฑบาตไป เวลาเขาเจอลัทธิต่างๆ ไปเจอนักบวชนอกศาสนา เขาจะคุยธรรมะกันไง เวลาไปโต้ตอบเขาแล้ว ไม่มีสมองไง ปฏิบัติไม่มีความจริง ไปเจอเขาโต้แย้งกลับมา ตอบเขาไม่ได้ไง มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธกิจ ๕ เช้าออกบิณฑบาต พอเย็นๆ สอนคฤหัสถ์ กลางคืนสอนพระ

เวลาสอนพระ พระก็จะมารายงานๆ ไง มีเรื่องใดๆ พระพุทธเจ้าจะถามไง เวลาโต้ตอบเขาไม่ได้ โมฆบุรุษ โมฆบุรุษคือว่างเปล่า คือไม่มีสิ่งใดในหัวใจไง ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมามันไม่มีหลักใจขึ้นมา มันจะเอาอะไรไปโต้ตอบกับเขาล่ะ เวลาเขาถามขึ้นมาก็ต้องกลับไปถามพระพุทธเจ้าก่อน พอพระพุทธเจ้าตอบมาเสร็จแล้ว สอนมาแล้ว เดินมา ลืมอีก พอลืมอีก เดี๋ยวต้องวิ่งกลับไปถามพระพุทธเจ้าใหม่ นี่เพราะมันไม่มีหลักมีใจไง มันไม่ได้ปฏิบัติไง

ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา นี่กล่าวแก้ๆ ของลัทธิต่างๆ ได้ มารดลใจๆ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน โลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลยนะ พระอานนท์ โอ้โฮ! เป็นเดือดเป็นร้อน ความเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะอยู่ไง อยู่แล้วนอนใจไง อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุปัฏฐากได้บุญมากๆ ก็บุญมากจริงๆ นั่นแหละ แต่เวลาภาวนามันก็น้อยใช่ไหม

ถึงเวลาแล้วจะไปนิพพาน นายจุนทะนิมนต์ไปฉันที่บ้าน สูกรมัททวะๆ ยังวิจัยกันไม่จบว่ามันเป็นเห็ดหรือมันเป็นเนื้อ สูกรมัททวะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันมื้อสุดท้ายน่ะ ฉันแล้ว เราไม่เห็นใครเลยจะฉันนี้ได้ เพราะว่ามันย่อยไม่ได้ ธาตุขันธ์มันย่อยไม่ได้ มันจะเจ็บไข้ได้ป่วย “เราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วเราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

ขันธ์ ๕ กายกับเวทนา ขันธ์ ๕ รูปนอก รูปใน เราสละทิ้ง นั่นน่ะ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีเศษส่วน มันมีความคิดอยู่ แต่ความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์ไง งงอีกล่ะ ความคิดอย่างไรมันสกปรก ความคิดอย่างไรมันสะอาดบริสุทธิ์ แล้วความคิดมันมีอย่างไร นี่ไง ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสมันตายไป ขันธ์ก็ยังอยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าถึงเวลาท่านจะนิพพาน ฉันอาหารของนายจุนทะแล้วถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธนิพพาน ทิ้งหมดเลย ทิ้งหมดเลย จบแล้ว พอมาจบแล้ว นี่ไง ที่เวลาเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรากราบถึงศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วนี่ไง นี่เป็นศาสดาของเรา ถ้าเป็นศาสดาของเรา เราศึกษาๆ ศึกษาอย่างนี้ ถ้าศึกษาอย่างนี้ เราปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นความจริงในหัวใจของเราขึ้นมา ถ้าในใจเราขึ้นมา เราก็มีกึ๋นไง มีกึ๋น มันรู้ของมันน่ะ

ศีลก็คือศีล เวลาศีลนะ อธิศีล ศีลจากภายนอก ศีลจากภายใน แล้วถ้าเป็นอธิศีล ศีลโดยเป็นความจริงของมัน เป็นความจริงเพราะอะไร เป็นความจริงเพราะเวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว มันสิ้นกิเลสไปแล้วมันไม่มีสิ่งใด เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านสิ้นแล้วท่านบอกเลย เวลาจะคิดทีหนึ่งมันเหมือนกับต้องยกไม้เลย คือยกไม้ยกของหนัก มันเสวย มันต้องรับรู้ ถ้าไม่รับรู้มันก็เป็นคุณธรรม เอโก ธมฺโม หนึ่งคิดไม่ได้

เป็นสอง สองคือธาตุรู้กระทบพาดพิงความรู้สึกนึกคิด พาดพิงมันก็รับรู้อารมณ์ได้ ถ้าตัวมันเองๆ มันไม่มีสิ่งใดในตัวมันเอง มันทำลายของมันไปหมดแล้ว มันไม่มีสิ่งใดเลย นี่ไง ที่ว่าหัวใจที่มีคุณค่า มีคุณค่าอยู่ในร่างกายนั้น ถ้าร่างกายนั้น ถ้าถึงซึ่งกิเลสนิพพาน

ทีนี้เราก็ค้นหามัน กิเลสมันเป็นอย่างไร กิเลสมันรักษาอย่างไร ทำวิจัยกันใหญ่เลยนะ กิเลสเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามันโลภ โลภไม่เอา แล้วถ้าจะภาวนาก็เป็นความโลภอีก ถ้าภาวนาก็ไม่ได้ อยากไปนิพพานก็เป็นความโลภ

ทีนี้เวลาหลวงตาท่านถึงมาวินิจฉัยประเด็นนี้ไง ประเด็นว่า ถ้าอยากบวก อยากทำคุณงามความดี อยากจะพ้นจากกิเลส อันนี้เป็นมรรค แต่ถ้าอยากจะพ้นจากกิเลส แล้วไม่ทำ แล้วนอน อยากให้มันได้เอง อย่างนี้เป็นกิเลส คือมันอยากโดยไม่ได้กระทำไง ความอยาก อยากที่เป็นบวกเป็นมรรค เป็นมรรค คนเรายังต้องขวนขวายกันอยู่ไง

ฉะนั้น เวลาถ้าเป็นสัจธรรมนะ เวลาสงบเข้ามามันสงบ จะดีจะชั่วมันปล่อยมาหมดเลย แล้วเวลาวิปัสสนาไป วิปัสสนาเป็นความดีไหม จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเป็นงานเป็นการของเราใช่ไหม เราขวนขวายทำการงานเพื่อผลประโยชน์ของเราใช่ไหม แล้วผลงานของเราก็เป็นผลงานของเรา ก็หวงผลงานของเรา กลัวผลงานของเรามันจะหายไป พยายามจำไว้เลยนะ เดี๋ยวไปบอกอาจารย์ไม่ถูก พยายามจำๆ ใหญ่เลย หวงผลงานของเราไง ผลงานมันก็ติดตรงนั้นไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันพิจารณาไปแล้ว ดีมันก็ทิ้ง ชั่วมันก็ทิ้ง ทิ้งทั้งนั้น พอทิ้งขึ้นไป ทิ้งขึ้นไปมันทิ้งทุกอย่างเข้ามามันมีความรู้จริงของมัน ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ความดีก็ต้องทิ้งมันไป ความดี ความดีที่ทำมา ความดี ศีล สมาธิ ปัญญาที่เรากระทำอยู่นี่ ถึงเวลาแล้วมันย่อยสลายตัวมันเองใช่ไหม มรรคกับกิเลสมันทำลายกันแล้ว กระบวนการของมันเวลาสมุจเฉทปหาน มันสมดุลของมัน แล้วทำลายอย่างไร มันทำลายกิเลสในหัวใจมันทำลายเป็นชั้นๆ เข้าไป การปฏิบัติมันมีเหตุมีผลของมันอย่างนี้

แล้วถ้ามันเป็นความดีอย่างนี้ ความดีนั้นเป็นกิเลสๆ แล้วถ้ามันเป็นความอยากที่เป็นกิเลส ถ้ามันทำไม่ได้ก็นอนตายกันอยู่นี่ไง กลัวไปหมด ขยับซ้ายก็กลัว ขยับขวาก็กลัว ทำอะไรก็กลัว แต่อยากไปนิพพาน อยากทั้งนั้นน่ะ แต่มันกลัวไปหมดเลย ฉะนั้น คนที่ไม่เคยทำผิดเลยก็คือไม่เคยทำอะไรเลย

เราจะทำของเรา เราจะทำของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ! ยกย่องมากนะ “อานนท์ เธอบอกเขาเถิด บริษัท ๔ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย อามิส บูชาด้วยอามิส ปฏิบัติบูชาเถิด”

เรานั่งสมาธิภาวนา เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์เลยนะ ย้ำแล้วย้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกเลย เวลาพระอานนท์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน พระอานนท์ไปยืนกอดกลอนประตูร้องไห้อยู่นั่นน่ะ ร้องไห้เพราะเสียใจ เสียใจ สิ่งที่รักต้องจากไปไง

“ภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน”

“อานนท์ไปเหนี่ยวกลอนประตูร้องไห้อยู่พระเจ้าค่ะ”

“ไปตามอานนท์มา ไปตามอานนท์มา”

“อานนท์ เธอทำความดีไว้มากในโลกนี้ เธอทำความดีกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้มาก ในอนาคตกาล...” ไม่บอกอดีต “...ในอนาคตกาลถ้าจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้า ผู้ที่จะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะไม่ทำได้ดีแบบพระอานนท์” ไม่มีใครทำดีได้ไปกว่านี้ นี่ทำดีที่สุดแล้ว แต่เป็นความดีของโลกนะ “เธออย่าเสียใจไปเลย อย่าเสียใจ” ปลอบประโลมนะ แล้วพระอานนท์ก็ โอ๋ย! คร่ำครวญนะ

ไปอ่านในพระไตรปิฎก อ่านแล้วน้ำตาไหล คร่ำครวญหมดเลย “เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร”

“อานนท์ ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ เป็นหน้าที่ของมัลลกษัตริย์เขา”

“ใช่ เป็นหน้าที่ของกษัตริย์เขา แต่ถ้ากษัตริย์เขาถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตอบเขาว่าอย่างไร เวลาถามนะ อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า เวลามีอะไรก็ไม่ถามไว้เลย พอพระพุทธเจ้าตายไปแล้วเดือดร้อนกันไปหมด”

โดนอีก ขึ้นก็โดน ล่องก็โดน โดนไปทั้งนั้นเลย เพราะอะไร เพราะความปรารถนา มีความปรารถนาดี

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน ท่านสั่งเสียไว้ ท่านอะไรไว้ แล้วก็อ่านพระไตรปิฎกบอก “พุทธพจน์ๆ”

เอ็งก็พุทธพจน์ ข้าก็พุทธพจน์เว้ย พระไตรปิฎกก็ตู้เดียวกันนี่แหละ แต่อ่านแล้วมันตีความกันไปอย่างไร อ่านแล้วมันมีความเห็นอย่างไร ถ้าอ่านแล้วซื่อตรงซื่อสัตย์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชา” ถ้าปฏิบัติแล้วมันจะมาย่อยสิ่งที่เราศึกษามา เพราะเราปฏิบัติไปแล้วเราผิดพลาดอย่างไรเราก็รู้ เราดีอย่างไรเราก็รู้ แล้วมันจะไปย่อยสลายสิ่งที่เราศึกษามา ข้อมูล จริงหรือไม่จริง จริงหรือเท็จ

นี่ไง พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติไว้ว่า กาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ ศึกษามาแล้วต้องปฏิบัติ ปฏิบัติมันจะมาย่อย ย่อยทฤษฎีที่เราศึกษามา ทฤษฎีที่เรายึดไว้ ถ้ามันตรงกัน ถ้ามันใช้ได้ เออ! ถูกต้อง ถูกต้อง ถ้ามันไม่ตรงกัน พยายาม พยายามหาช่องทางไป ขยับไป ทำของเราเรื่อยๆ

มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์มีสมอง มนุษย์มีอำนาจวาสนาบารมี ถ้าอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีอยู่ที่นี่ อยู่ที่ค้นคว้าหาสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมคือความรู้สึก แล้วความรู้สึกเราจับต้องได้นะ ความรู้สึกของคนเขาค้นหาไม่เจอ เขาจับต้องของเขาไม่ได้นะ เขาทำสมาธิไม่เป็น ว่างๆ นั่นสูญเปล่า

แต่ถ้าเป็นสมาธิว่างๆ มีสติสัมปชัญญะพร้อม จับต้องตัวตนได้ทั้งสิ้น เพราะตัวตนอันนั้น สมาธิอันนั้นยกขึ้นสู่วิปัสสนา ตัวตนอันนั้น จิตอันนั้น สัมมาสมาธิอันนั้นมันจะทำความสะอาดจิตดวงนั้น มันจะทำความสะอาด จะสำรอกคายกิเลสตรงนั้น ที่ผู้เกิด ผู้แก่ ผู้เจ็บ ผู้ตายมันอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่อยู่ที่เรานั่งกันอยู่นี่ ตรงนั้นเรานั่ง เราเกิดมาแล้วไง นี่วิบากไง คือวิบาก ผลของวิบากภพชาติหนึ่งไง แล้วเราก็ต้องตายไป ไปเกิดใหม่ไง แต่ถ้ามันไปเจอตรงนั้น มันไปแก้กันตรงนั้น พระพุทธศาสนาสอนที่นี่

แต่โดยประเพณีวัฒนธรรมนั้นเรื่องหนึ่ง ในความเชื่อในไสยศาสตร์ ในพราหมณ์ ฮินดูต่างๆ มันมีมาทั่ว คนก็เชื่อกันมาเยอะ ความเชื่อแล้วก็ดึงกันไป นี่สังคม เพราะเราไม่มีจุดยืนไง ถ้าคนมีอำนาจวาสนามันจะมีจุดยืนของมัน มันจะไม่ไหลไปตามใคร แล้วมันจะมีจุดยืนของมัน แล้วพยายามค้นคว้าหาความจริงในใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง